Home » ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร ใครมีหน้าที่ต้องจ่าย ตามกฎหมาย | บิดา มารดา มี หน้าที่ ต่อ บุตร อย่างไร

ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร ใครมีหน้าที่ต้องจ่าย ตามกฎหมาย | บิดา มารดา มี หน้าที่ ต่อ บุตร อย่างไร

ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร ใครมีหน้าที่ต้องจ่าย ตามกฎหมาย


นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

ค่าเลี้ยงดูบุตร ที่เกิดระหว่างสมรส กรณีบิดามารดาหย่าขาดจากกัน หรือแยกกันอยู่ แล้วบุตรอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือฝ่ายหนึ่ง มีฐานะดีกว่า ใครเป็นผู้มีหน้าที่ต้องจ่าย ตามกฎหมาย

ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร ใครมีหน้าที่ต้องจ่าย ตามกฎหมาย

กรรมที่ทำให้มาเป็นพ่อแม่ลูก


กรรม ที่ทำให้เกิดมาเป็นพ่อแม่ลูกกัน

กรรมที่ทำให้มาเป็นพ่อแม่ลูก

หน้าที่ของบุตรที่มีต่อบิดามารดา


หน้าที่ของบุตรที่มีต่อบิดามารดา

ค่าโอนที่ดินมรดกจะต้องจ่ายยังไง อยากโอนที่ดินมรดกต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง


ค่าโอนที่ดินมรดกจะต้องจ่ายยังไง อยากโอนที่ดินมรดกต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง
สวัสดีครับวันนี้ผมจะชวนทุกคุณมาคุยถึงอีก 1 หัวข้อสำคัญมากๆเกี่ยวกับเรื่อง การโอนที่ดินมรดก ครับ ที่ดินแบบไหนที่เขาจะเรียกว่าเป็นที่ดินมรดกเคยสงสัยกันบ้างไหมครับและค่าใช้จ่ายเวลาเราไปโอนจะมีค่าใช้จ่ายตัวไหนที่เราจะต้องเตรียมความพร้อมและวางแผนจัดสรรการเงินไว้บ้างเดี๋ยววันนี้จะค่อยเล่าให้ทุกคนฟังกันนะครับ

ที่ดินมรดกคืออะไร
ที่ดินที่เราจะเรียกได้ว่าเป็นที่ดินมรดกนะครับจะต้องเป็นที่ดินที่เจ้าของคนเก่าเสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งถ้าเสียชีวิตไปแล้วเนี่ยกรรมสิทธิ์ของที่ดินผืนนั้นหรืออสังหาริมทรัพย์นั้นนะเนี่ยก็จะตกทอดไปสู่ทายาทเป็นลำดับไหมครับ ดังนั้นการที่เราจะเรียกว่า ที่ดินผืนนั้นบ้านหลังนั้นเป็นมรดกหรือเปล่าข้อแรกเลยเนี่ยคือเจ้าของเดิมจะต้องเสียชีวิตไปแล้วนะครับถ้าเกิดว่ายังมีชีวิตอยู่แล้วโอนให้กันเนี่ยแบบนี้ไม่เรียกว่าการโอนมรดกให้กันนะครับ

ใครมีสิทธิในมรดกบ้าง
ที่นี้มีคำถามตอบมาครับว่าถ้าเจ้าของเดิมเขาเสียชีวิตแล้วเนี่ยใครล่ะจะมีสิทธิ์ในมรดกบนที่ดินผืนนั้นกันบ้างนะครับ แน่นอนครับว่าจะต้องมีเกณฑ์การพิจารณาอยู่แล้วนะว่าลำดับทายาทของการได้รับมรดกต้องแตกต่างกันไปครับและผมขออนุญาตแบ่งเป็น 2 เกณฑ์หลักก่อนนะครับ
ไม่ได้ทำพินัยกรรม
เจ้าของมรดกไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้สิทธิ์ในการได้รับมรดก จะดูตามทายาทที่มีสิทธิตามกฎหมายหรือทายาทโดยธรรมครับ แบ่งออกมาเป็นลำดับดังต่อไปนี้ครับ
1.ผู้สืบสันดาน(บุตร, หลาน, เหลน, ลื้อ)
2.ภรรยาหรือสามี (ต้องได้จดทะเบียนสมรสกันเท่านั้น)
3.บิดาและมารดา
4.พี่น้องร่วมสายเลือด ทั้งบิดาและมารดาเดียวกัน
5.พี่น้องร่วมบิดา หรือ มารดาเดียวกัน
6.ปู่ย่า ตายาย
7.ลุง ป้า น้า อา
สิทธิในการรับมรดกก็จะคิดตามลำดับกันมาแบบนี้ครับ
สำหรับส่วนแบ่งมรดกของญาติโดยธรรมตามที่ผมบอกไปด้านบนนี้นะครับมีหลักอยู่ว่า
ญาติลำดับเดียวกัน จะได้รับส่วนแบ่งเท่ากัน
กระบวนการโอนที่ดินหรือบ้านตรงนี้นะครับก็จะเหมือนกับกระบวนการโอนตามปกตินะครับคือเราต้องไปทำที่กรมที่ดินครับ แต่ที่จะแตกต่างกันก็คือเรื่องค่าใช้จ่ายในการโอนครับ
ถ้าเป็นทรัพย์สินที่เรามีการซื้อขายกันตามปกติค่าโอนก็จะเป็นไปตามที่ผมเคยได้อธิบายไปในคลิปก่อนหน้านี้แล้วนะครับจะมี 5 ตัวหลักๆ
1. ค่าธรรมเนียมการโอน
2. ค่าจดจำนอง
3. ค่าอากรแสตมป์
4. ค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ
5.ค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
สามารถย้อนกลับไปดูในคลิปได้ที่ https://youtu.be/KMUqp0_YITQ

แต่ในกรณีที่เป็นการโอนที่ดินมรดกจะแตกต่างกันออกไปครับ ในกรณีที่เราโอนที่ดินมรดกจะเหลือค่าใช้จ่ายตัวใหญ่ๆอยู่แค่ตัวเดียวเท่านั้นครับคือค่าธรรมเนียมการโอน ที่จะคิดอยู่ร้อยละ จากราคาประเมินกรมที่ดินครับ
แต่นะครับตรงนี้สำคัญมากๆถ้าเราเป็นบุตรตามกฎหมาย หรือที่ทางกฎหมายเขาจะเรียกว่าผู้สืบสันดานครับ คือถ้าเราเป็นลูกของผู้เสียชีวิตหรือเราเป็นคู่สมรส ค่าโอนจาก 2% จะเหลือแค่ 0.5% เท่านั้นเองครับซึ่งลดลงไปเยอะมากๆเลยนะครับ
และนอกเหนือจากค่าโอนที่เป็นค่าใช้จ่ายหลักที่ผมได้พูดไปแล้วเนี่ยก็จะมีค่าใช้จ่ายยิบย่อยอื่นๆอีกครับยกตัวอย่างเช่น
ค่าคำขอ แปลงละ 5 บาท
ค่าประกาศมรดก แปลงละ 10 บาท

เดี๋ยวผมขอเพิ่มเติมให้หน่อยละกันนะครับว่าสำหรับใครนะที่จะไปโอนมรดกกันที่กรมที่ดินเนี่ยจะต้องมีเอกสารอะไรที่จะต้องเตรียมตัวไปบ้างนะครับในส่วนนี้ผมนำข้อมูลมาจากเว็บไซต์ของกรมที่ดินนะครับ

หรือหนังสือรับรองทำประโยชน์
บัตรประจำตัว
ทะเบียนบ้าน
หลักฐานการตายของเจ้ามรดก เช่น มรณบัตร พินัยกรรม (ถ้ามี)
ถ้าผู้ขอ ขอรับมรดกในฐานะเป็นคู่สมรส ต้องมีหลักฐานการสมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย
ถ้าผู้ขอรับมรดกเป็นบิดาเจ้ามรดก ต้องมีทะเบียนสมรสกับมารดาของเจ้ามรดกหรือหลักฐานการรับรองบุตร
กรณีบุตรบุญธรรมเป็นผู้ขอรับมรดก ต้องแสดงหลักฐานการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม
ถ้ามีกรณีพิพาทเกี่ยวกับมรดก ต้องนำสัญญาประนีประนอมยอมความหรือคำพิพากษาอันถึงที่สุดไปแสดง
ถ้ามีผู้มีสิทธิรับมรดกร่วมกันหลายคน บางคนได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ต้องมีหลักฐานการตายของทายาทนั้น ๆ

อีกตัวนึงนะครับตรงนี้อาจจะมีผลเฉพาะคนที่ได้รับมรดกมาเป็นที่ดินที่มีมูลค่าเยอะๆอาจจะต้องระวังเรื่องค่าใช้จ่ายอีก 1 ตัวนะครับค่าใช้จ่ายตัวนั้นคือ ภาษีมรดก ครับตรงนี้ในคลิปนี้ผมขออนุญาตยังไม่ลงดีเทลแล้วกันนะครับแต่ให้เข้าใจง่ายๆว่าภาษีมรดกจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมูลค่าของมรดกนั้นมีมูลค่าเกิน 100 ล้านบาทครับ คิดจากราคาประเมินนะครับ ในส่วนที่เกิน 100 ล้านบาทจะเริ่มมีการคิดภาษีมรดกเข้ามาแล้วนะครับดังนั้นเอาเป็นว่าถ้ามูลค่าของมรดกที่เราได้รับมาไม่เกิน 100 ล้านในส่วนภาษีมรดกเรายังไม่ต้องไปกังวลนะครับเราไม่มีหน้าที่ต้องเสียครับเป็นประมาณนี้

ดังนั้นมาสรุปอีกทีก่อนจากกันไปนะครับสำหรับเรื่องการโอนที่ดินมรดกนะครับเรื่องแรกต้องดูก่อนว่าเจ้าของมรดกได้ทำพินัยกรรมไว้หรือเปล่านะครับถ้าทำก็ไปดูว่าพินัยกรรมนั้นกำหนดให้ใครเป็นผู้มีสิทธิ์ในมรดกผืนนั้นนะครับก็ว่ากันไปตามพินัยกรรมส่วนที่ 2 ถ้าเกิดว่าไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้เนี่ยก็มาดูลำดับทายาทนะครับตามที่ผมได้พูดไปแล้วในช่วงต้นคิดนะว่าใครมีสิทธิ์เท่าไหร่นะฮะแบ่งกันไปจากนั้นก็ถึงกระบวนการโอนที่กรมที่ดินครับ สำหรับที่ดินมรดกนะครับการโอนเนี่ยจะจ่ายเฉพาะค่าโอนตัวเดียวเท่านั้นนะครับที่เป็นค่าใช้จ่ายตัวใหญ่ๆหลักๆนะฮะซึ่งถ้าเราเป็นลูกหรือคู่สมรสเนี่ยค่าโอนก็จะเหลือแค่ 0.5 เปอร์เซ็นต์นะครับเป็นประมาณนี้เองนะคะสำหรับเรื่องการโอนที่ดินมรดกครับ

มรดก ที่ดินมรดก โอนที่มรดก โอนมรดก ที่ดินมรดกโอน พ่อโอนมรดก โอนที่ดิน โอนบ้าน

ค่าโอนที่ดินมรดกจะต้องจ่ายยังไง อยากโอนที่ดินมรดกต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง

การตอบแทนคุณมารดาบิดาอย่างสูงสุด


ธรรมบรรยาย พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ที่ DMC 3 สิงหาคม 2554
[พุทธวจน]ภิกษุ ท. ! เรากล่าวการกระทำตอบแทนไม่ได้ง่าย
แก่ท่านทั้งสอง. ท่านทั้งสอง คือใคร ?
คือ มารดา ๑ บิดา ๑
ภิกษุ ท. ! บุตรพึงประคับประคองมารดาด้วย บ่าข้างหนึ่ง พึงประคับประคองบิดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง เขามีอายุ มีชีวิตอยู่ตลอดร้อยปี และเขาพึงปฏิบัติท่านทั้งสองนั้น
ด้วยการอบกลิ่น การนวด การให้อาบน้ำ และการดัด และท่านทั้งสองนั้น พึงถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่าทั้งสองของเขา นั่นแหละ. ภิกษุ ท.! การกระทำอย่างนั้นยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย.
ภิกษุ ท. ! อนึ่ง บุตรพึงสถาปนามารดาบิดาในราชสมบัติ อันเป็นอิสราธิปัตย์ ในแผ่นดินใหญ่อันมีรตนะ๗ ประการมากหลายนี้ การกระทำกิจอย่างนั้น ยังไม่ชื่อว่า
อันบุตรทำแล้ว หรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย
ข้อนั้นเพราะเหตุไร ?
เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย
ส่วนบุตรคนใด
1) ยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา ให้สมาทานตั้งมั่นในสัทธาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา)
2) ยังมารดาบิดาผู้ทุศีล ให้สมาทานตั้งมั่นในสีลสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศีล)
3) ยังมารดาบิดาผู้มีความตระหนี่ ให้สมาทานตั้งมั่นในจาคสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยการบริจาค)
4)ยังมารดาบิดาทรามปัญญา ให้สมาทานตั้งมั่นในปัญญาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยปัญญา)
ภิกษุ ท. ! ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล การกระทำอย่างนั้นย่อมชื่อว่าอันบุตรนั้นทำแล้ว และทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดา.
เชิญชม ธรรมบรรยายเพิ่มเติมได้ที่
www.HiDhamma.com

การตอบแทนคุณมารดาบิดาอย่างสูงสุด

นอกจากการดูหัวข้อนี้แล้ว คุณยังสามารถเข้าถึงบทวิจารณ์ดีๆ อื่นๆ อีกมากมายได้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆwes-and-vps/

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *